แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา
รายวิชาสุขศึกษา
พลศึกษา ทช 11002 ระดับประถมศึกษา ( หน่วยกิต)
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551
ภาคการศึกษา
ที่ ……1/2558 ……….กศน. ตำบล…ชมพู…… อำเภอ….เมืองลำปาง……
จังหวัด…ลำปาง……..
ครั้งที่
|
รายวิชา/หัวเรื่อง
|
เนื้อหา
|
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
|
การจัดกระบวนการเรียนรู้
|
ชั่วโมง
|
สื่อ/แหล่งเรียนรู้
|
การวัดและประเมินผล
|
1
2/8/58
|
ร่างกายของเราและพัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น
|
1.
วัฏจักรของชีวิตมนุษย์
2. โครงสร้าง หน้าที่ และการทำงานของอวัยวะสำคัญของร่างกาย
-
อวัยวะภายนอก ได้แก่ ผิวหนัง หู ตา คอ จมูก ฟัน ผม เล็บ ฯลฯ
-
อวัยวะภายใน ได้แก่ หัวใจ ปอด กระเพาะ ลำไส้ ตับ ไต ฯลฯ
1.
|
1. อธิบายธรรมชาติการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ได้อย่างถูกต้อง
2. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตามวัยของร่างกายได้
3. อธิบายโครงสร้างและการทำงานของอวัยวะภายใน
และภายนอกได้
4. อธิบายวิธีการดูแลรักษาป้องกันความผิดปกติของอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย
ทั้งภายในและภายนอกได้
2.
|
ขั้นที่1.กำหนดสภาพปัญหาความต้องการ ครูเริ่มเข้าสู่บทเรียนโดยการสนทนากับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็น
เกี่ยวกับพัฒนาการด้านร่างกายของมนุษย์
ขั้นที่ 2. แสงหาความรู้และการจัดการกิจกรรม
ครูอธิบายถึงโครงสร้าง
หน้าที่ และการทำงานของอวัยวะและระบบต่าง ๆ ในร่างกายของมนุษย์
โดยให้ผู้เรียนดูจากใบความรู้ที่ครูมอบให้
3.
ครูแจกใบงานให้นักศึกษาในหัวข้อ
-
การเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย
-
หน้าที่การทำงานของอวัยวะภายนอก
-
หน้าที่การทำงานของอวัยวะภายใน
โดยให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มหรือจับคู่ช่วยกันทำและสรุปหัวข้อใบงานที่ครูมอบหมายออกนำเสนอหน้าชั้นเรียน
|
3
|
ใบความรู้
แบบเรียนวิชาสุขศึกษา
พลศึกษา
ใบงาน/แบบฝึกหัด
|
การสังเกต
กระบวนการกลุ่ม
การมีส่วนร่วม
บันทึกการเรียนรู้
แบบทดสอบย่อย
|
ครั้งที่
|
รายวิชา/หัวเรื่อง
|
เนื้อหา
|
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
|
การจัดกระบวนการเรียนรู้
|
ชั่วโมง
|
สื่อ/แหล่งเรียนรู้
|
การวัดและประเมินผล
|
|
|
|
|
ขั้นที่ 3 การปฎิบัติและนำไปประยุกต์ใช้
1.ครูและนักศึกษาร่วมกันสรุปบทเรียนร่วมกัน
ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้
1.ครูให้ศึกษาทำแบบฝึกหัด
2.ครูเฉลยแบบฝึกหัด
การเรียนรู้ด้วยตนเอง
(กรต.)
- ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายนอกเหนือจาก
ได้เรียนจากการมาพบกลุ่ม
-
ให้ผู้เรียนศึกษาเนื้อหาการดูแลรักษาป้องกัน
ความผิดปกติของอวัยวะสำคัญของร่างกาย อวัยวะภายนอกและภายใน และสรุปความแตกต่างของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอกพร้อมอภิบายวิธีการป้องกันและดูแลรักษา
|
|
|
|
ใบความรู้ การเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์
จะเริ่มตั้งแต่เกิด ซึ่งแบ่งได้เป็น 5 ช่วงวัย
โดยแต่ละวัยจะมีลักษณะและพัฒนาการเฉพาะของวัย
การเจริญเติบโต (Growth) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในขนาดรูปร่าง
สัดส่วนตลอดจนกระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะทุกส่วนของร่างกายตามลำดับขั้น
พัฒนาการ (Development) หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ทุกส่วนที่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิต
ซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจผสมผสานกันไปเป็นขั้นๆ
จากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหนึ่ง ทำให้เกิดการเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับ ซึ่งแบ่งเป็น 5
ช่วงวัย ดังนี้
1.
วัยทารก (Infancy) ตั้งแต่เกิด – 2 ปี
เด็กในวัยนี้จะมีพัฒนาการทางด้านร่างกายที่รวดเร็วมากในขวบปีแรกเป็น
2 เท่าจากแรกเกิด ปีถัดมาพัฒนาการจะเพิ่มขึ้นเพียง 30 %
จากนั้นจะเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ ตามแผนของการพัฒนา
วัยทารกจะสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ในระดับเบื้องต้น เช่น รู้จักสำรวจ ค้นหา
ทำความเข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว
รู้จักใช้อวัยวะสัมผัสสิ่งต่างๆ วัยนี้ต้องอาศัยการเลี้ยงดูเอาใจใส่มากที่สุด
2.
วัยเด็ก (Childhood) ตั้งแต่ 3-12 ปี
การเจริญเติบโตในวัยนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกระดูกกล้ามเนื้อ
และการประสานกับระบบต่างๆ ในร่างกาย ความแตกต่างระหว่างบุคคลและเพศตรงกันข้าม
จะปรากฏชัดเจน โดยวัยเด็กแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
2.1 วัยเด็กตอนต้น (3-5 ปี) รู้จักใช้ภาษา หัดพูด
กินข้าว ล้างมือ รู้จักสังเกต อยากรู้ อยากทดลอง และเล่น
2.2 วัยเด็กตอนกลาง (6-9 ปี)
เริ่มไปโรงเรียนต้องปรับตัวเข้ากับคนแปลกหน้า และทำความเข้าใจกับระเบียบของโรงเรียน
รู้จักเลือกตัดสินใจ รับผิดชอบการทำงานของตนเองได้
2.3 วัยเด็กตอนปลาย (10-12 ปี) เพศชาย-หญิง
จะแสดงความแตกต่างชัดเจนในด้านพฤติกรรมและความสนใจ เด็กหญิงจะโตกว่าเด็กชาย
มีทักษะการใช้ภาษาที่ดีขึ้น ทำตามคำสั่งได้ เรียนรู้บทบาทที่เหมาะสมกับเพศของตน
และจะเล่นเฉพาะกลุ่มที่เพศเดียวกัน
3.
วัยรุ่น (Adolescence) อายุระหว่าง 13-20 ปี
วัยนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
เนื่องจากเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
จิตใจและต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้งปรับตัวให้เข้ากับสังคม
บางครั้งทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางเพศ
เริ่มให้ความสนใจกับเพศตรงกันข้าม เริ่มมองอนาคต คิดถึงการมีอาชีพของตน
คิดถึงครอบครัว อยากรู้ อยากเห็น อยากแสดงความสามารถ
บางครั้งแสดงออกในทางที่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่
การให้แนะนำที่เหมาะสม
4.
วัยผู้ใหญ่ (Adulthood) อายุระหว่าง 21-60 ปี
วัยนี้ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
มีรูปร่างสมส่วน ร่างกายแข็งแรง แต่เนื่องจากความเจริญเติบโตและพัฒนาการทางกาย
และใจของแต่ละคนต่างกัน เช่นคนที่เป็นลูกคนโต ต้องดูแลน้องๆ ก็อาจจะเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าน้องคนเล็ก
หรือคนที่กำพร้าพ่อแม่ ก็ย่อมเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าคนที่มีพ่อแม่อยู่ใกล้ชิด
สรุปได้กว่าวัยนี้ เป็นวัยที่มีความเจริญด้านต่างๆ ทั้งด้านความสนใจ ทัศนคติ
และค่านิยม โดยเฉพาะเรื่องอาชีพ การเลือกคู่ครอง และการมีชีวิตครอบครัว เป็นวัยที่มีพละกำลัง
มีความสามารถในการทำงานมากที่สุด เพราะเป็นวัยที่ต้องรับผิดชอบในหน้าที่
เพื่อครอบครัวและประเทศชาติ
5.
วัยชรา (Old Age) อายุ 60 ปีขึ้นไป
วัยนี้เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย
จิตใจ อารมณ์ รวมทั้งสมองในทางเลื่อมลง จึงประสบปัญหาสุขภาพมากกว่าวัยอื่น
มีอาการหลงลืม มักจะจำเรื่องราวในอดีต
เหมาะที่จะเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำแก่ผู้อื่น เพราะเป็นผู้ที่ประสบการณ์มาก่อน
วัยนี้มักมีอารมณ์ค่อนข้างเครียด โกรธ และน้อยใจง่าย
ใบความรู้เรื่องโครงสร้าง
หน้าที่และการทำงานของอวัยวะสำคัญในร่างกาย
อวัยวะและระบบต่างๆ
ในร่างกาย
อวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน
อวัยวะภายนอก
เป็นอวัยวะที่มองเห็นได้ เช่น ตา หู จมูก ปากและผิวหนัง
อวัยวะเหล่านี้มีหน้าที่การทำงานต่างกัน
อวัยวะภายใน
เป็นอวัยวะที่อยู่ในร่างกายที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นส่วนหนึ่งของระบบต่างๆ
ภายในร่างกาย โดยอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในมีการทำงานที่สัมพันธ์กัน
หากส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่อง หรือได้รับอันตรายก็อาจมีผลกระทบต่อส่วนอื่นได้
1. อวัยวะภายนอก
มีดังนี้
1.1
ตา เป็นอวัยวะที่ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ
และช่วยให้เกิดการเรียนรู้ เพราะถ้าไม่มีดวงตา สมองจะไม่สามารถรับรู้และจดจำสิ่งที่อยู่รอบตัว
นอกจากนั้นตายังแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ
ส่วนประกอบของตา
ที่สำคัญมีดังนี้
(1) คิ้ว
เป็นส่วนประกอบที่อยู่เหนือหนังตาบน
ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดกับดวงตา โดยป้องกันสิ่งสกปรก เหงื่อ น้ำ และสิ่งแปลกปลอมที่อาจไหลหรือตกมาจากหน้าผาก
หรือศีรษะ เข้าสู่ดวงตาได้
(2) หนังตา และเปลือกตา ทำหน้าที่เปิดปิดตา
เพื่อรับแสง และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่ตา และกระจกตา
โดยอัตโนมัติเมื่อมีสิ่งอันตรายเข้ามาใกล้ตา
(3) ขนตา
เป็นส่วนประกอบที่อยู่หนังตาบน หนังตาล่าง ทำหน้าที่ป้องกันอันตราย
เช่นฝุ่นละออง ไม่ให้ทำอันตรายแก่ตา
(4) ต่อมน้ำตา
เป็นส่วนประกอบของตาที่อยู่ในเบ้าตา ทางด้านหางคิ้วบริเวณหนังตาบน
ทำหน้าที่ซับน้ำตา มาช่วยให้ตาชุ่มชื้น และขับสิ่งสกปรกออกมากับน้ำตา
1.2 หู
เป็นอวัยวะรับสัมผัสที่ทำให้ได้ยินเสียงต่างๆ เช่น เสียงเพลง เสียงพูดคุย
การได้ยินเสียง ทำให้เกิดการสื่อสารระหว่างกัน ถ้าหูผิดปกติไม่ได้ยินเสียงใดเลย
สมองไม่สามารถแปลความได้ว่าเสียงต่างๆ เป็นอย่างไร
ส่วนประกอบของหู
ส่วนประกอบของหูแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
หูชั้นนอก หูชั้นกลาง หูชั้นใน
(1) หูชั้นนอกประกอบด้วยส่วนต่างๆ
ดังนี้
·
ใบหู
ทำหน้าที่รับเสียงสะท้อนเข้าสู่รูหู
·
รูหู ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของเสียง
ให้เข้าไปสู่ส่วนต่างๆ ของรูหู ภายในรูหูจะมีต่อมน้ำมัน
ทำหน้าที่ผลิตไขมันทำให้หูชุ่มชื้น และดักจับฝุ่นละออง
และสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาภายในรูหู และเกิดเป็นขี้หู นอกจากนั้น
ภายในรูหูยังมีเยื่อแก้วหู ซึ่งเป็นเยื่อแผ่นกลมบางๆ กั้นอยู่ระหว่างหูชั้นนอก
กับหูชั้นกลาง ทำหน้าที่ถ่ายทอดเสียงผ่านหูชั้นกลาง
(2) หูชั้นกลาง
มีลักษณะเป็นโพรง ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ กระดูกรูปค้อน กระดูกรูปทั่ง
และกระดูรูปโกลน เป็นกระดูกชิ้นนอกติดอยู่กับหูชั้นใน กระดูกทั้ง 3 ชิ้นดังกล่าว
ทำหน้าที่รับคลื่นเสียงต่อจากเยื่อแก้วหู
(3) หูชั้นใน
มีลักษณะเป็นรูปหอยโข่ง เป็นส่วนที่อยู่ด้านในสุด
ทำหน้าที่ขับคลื่นเสียงโดยผ่านประสาทรับเสียงส่งต่อไปยังสมอง
และสมองก็แปลผลทำให้รู้ว่าเสียงที่ได้ยินคือเสียงอะไร
1.3 จมูก เป็นอวัยวะรับสัมผัส
ทำหน้าที่หายใจเอาอากาศเข้าและออกจากร่างกาย และมีหน้าที่รับกลิ่นต่างๆ
ถ้าจมูกไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จะไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
หรือทำให้ระบบการหายใจและการออกเสียงผิดปกติ
ส่วนประกอบของจมูก
จมูกเป็นอวัยวะภายนอกที่อยู่บนใบหน้า
ช่วยเสริมให้ใบหน้าสวยงาม จมูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
(1) สันจมูก
เป็นส่วนที่มองเห็นจากภายนอก เป็นกระดูกอ่อน
ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้กับอวัยวะภายในจมูก
(2) รูจมูก รูจมูกมี 2 ข้าง
ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศ ที่หายใจเข้าออก ภายในรูจมูกมีขนจมูกและเยื่อจมูก
ทำหน้าที่กรองฝุ่นและเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่หลอดลมและปอด
(3) ไซนัส เป็นโพรงอากาศครอบจมูกในกะโหลกศีรษะ จำนวน 4 คู่ ทำหน้าที่พัดอากาศเข้าสู่ปอด
และปรับลมหายใจให้มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ
1.4 ปากและฟัน
เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่ใช้ในการพูด ออกเสียง และรับประทานอาหาร
โดยฟันของคนเราจะมี 2 ชุด คือ ฟันน้ำนมและฟันแท้
(1)
ฟันน้ำนม เป็นฟันชุดแรก มีทั้งหมด 20 ซี่ เป็นฟันบน
10 ซี่ ฟันล่าง 10 ซี่
ฟันน้ำนมเริ่มงอกเมื่ออายุประมาณ 6-8 เดือน
จะงอกครบเมื่ออายุ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบครึ่ง
และจะค่อยๆ หลุดไปเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ
(2)
ฟันแท้ เป็นฟันชุดที่สอง
ที่เกิดขึ้นมาแทนฟันน้ำนมที่หลุดไป ฟันแท้มี 32 ซี่ ฟันบน 16 ซี่ ฟันล่าง 16 ซี่ ฟันแท้จะครบเมื่ออายุประมาณ 21-
25 ปี ถ้าฟันแท้ผุหรือหลุดไป จะไม่มีฟันงอกขึ้นมาอีก
หน้าที่ของฟัน
ฟัน มีหน้าที่ในการเคี้ยวอาหาร เช่น ฉีก กัด บดอาหารให้ละเอียด
ฟันจึงมีหน้าที่และรูปร่างต่างกันไป ได้แก่ ฟันหน้า มีลักษณะคล้ายลิ่ม
ใช้กัดตัด ฟันเขี้ยว มีลักษณะปลายแหลม
ใช้ฉีกอาหาร และฟันกราม มีลักษณะแบน กว้าง ตรงกลางมีร่องใช้บดอาหาร
1.5
ผิวหนัง เป็นอวัยวะรับสัมผัส ทำให้รู้สึก ร้อน
หนาว เจ็บปวด เพราะภายใต้ผิวหนังเป็นที่รวมของเซลล์ประสาทรับความรู้สึก
นอกจากนั้นผิวหนังยังทำหน้าที่ปกคลุมร่างกาย
และช่วยป้องกันอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับอันตราย
และยังช่วยระบายความร้อนภายในร่างกายทางรูเหงื่อตามผิวหนังอีกด้วย
ส่วนประกอบของผิวหนัง
แบ่งออกเป็น 2
ชั้น ดังนี้
(1)
ชั้นหนังกำพร้า
เป็นชั้นบนสุด เป็นชั้นที่จะหลุดเป็นขี้ไคล
แล้วมีการสร้างขึ้นมาทดแทนขึ้นเรื่อยๆ
และเป็นผิวหนังชั้นที่บ่งบอกความแตกต่างของสีผิวในแต่ละคน
(2)
ชั้นหนังแท้
เป็นผิวหนังที่หนากว่าชั้นหนังกำพร้า เป็นแหล่งรวมของต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน
และเซลล์ประสาทรับความรู้สึกต่างๆ
2. อวัยวะภายใน
อวัยวะภายในเป็นอวัยวะที่อยู่ใต้ผิวหนัง
ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็น
อวัยวะภายในเหล่านี้มีมากมายและทำงานประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบ
2.1 ปอด ปอดเป็นอวัยวะภายในอย่างหนึ่ง อยู่ในระบบหายใจ ปอดมี 2 ข้าง
ตั้งอยู่บริเวณทรวงอกทั้งทางด้านซ้ายและด้านขวา จากต้นคอลงไปจนถึงอก
ปอดมีลักษณะนิ่มและหยุ่นเหมือนฟองน้ำ ขยายใหญ่เท่ากับซี่โครงเวลาที่ขยายตัวเต็มที่
มีเยื่อบางๆ หุ้ม เรียกว่า เยื่อหุ้มปอด ปอดประกอบด้วยถุงลมเล็กๆ จำนวนมากมาย
เวลาหายใจเข้าถุงลมจะพองออกและเวลาหายใจออกถุงลมจะแฟบ
ถุงลมนี้ประสานติดกันด้วยเยื่อประสานละเอียดเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยมากมาย
เลือดดำจะไหลผ่านเส้นเลือดฝอยเหล่านั้น แล้วคายคาร์บอนไดออกไซด์ออก
และรับเอาออกซิเจนจากอากาศที่เราหายใจเข้าไปในถุงลมไปใช้ในกระบวนการเคมีในการสันดาปอาหารของร่างกาย
กระบวนการที่เลือดคายคาร์บอนไดออกไซด์ และรับออกซิเจนขณะที่อยู่ในปอดนี้ เรียกว่า
การฟอกเลือด
หน้าที่ของปอด
ปอดจะทำหน้าที่สูบและระบายอากาศ
ฟอกเลือดเสียให้เป็นเลือดดี การหายใจมีอยู่ 2 ระยะ คือ หายใจเข้าและหายใจออก
หายใจเข้า คือ การสูดอากาศเข้าไปในปอดหรือถุงลมปอด เกิดขึ้นด้วยการหดตัวของกล้ามเนื้อกะบังลม
ซึ่งกั้นอยู่ระหว่างช่องอกกับช่องท้อง
เมื่อกล้ามเนื้อกะบังลมหดตัวจะทำให้ช่องอกมีปริมาตรมากขึ้น อากาศจะวิ่งเข้าไปในปอด
เรียกว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจเข้าสุดแล้ว กล้ามเนื้อกะบังลมจะคลายตัวลง
กล้ามเนื้อท้องจะดันเอากล้ามเนื้อกะบังลมขึ้น ทำให้ช่องอกแคบลง
อากาศจะถูกบีบออกจากปอด เรียกว่า หายใจออก ปกติผู้ใหญ่หายใจประมาณ 18-22
ครั้งต่อนาที ผู้ที่มีอายุน้อยการหายใจจะเร็วขึ้นตามอายุ

หน้าที่ของหัวใจ
หัวใจมีจังหวะการบีบตัว
หรือที่เราเรียกว่าการเต้นของหัวใจ
เพื่อสูบฉีดเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงร่างกายตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ขณะที่คลายตัวหัวใจห้องบนขวาจะรับเลือดดำมาจากทั่วร่างกาย
และจะถูกบีบผ่านลิ้นที่กั้นอยู่ลงไปทางห้องล่างขวา
ซึ่งจะถูกฉีดไปยังปอดเพื่อคายคาร์บอนไดออกไซด์และรับออกซิเจนใหม่กลายเป็นเลือดแดง
ไหลกลับเข้ามายังหัวใจห้องบนซ้ายและถูกบีบผ่านลิ้นที่กั้นอยู่ไปทางห้องล่างซ้าย
จากนั้นก็จะถูกฉีดออกไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ถ้าเราใช้นิ้วแตะบริเวณเส้นเลือดใหญ่
เช่น ข้อมือ หรือข้อพับต่างๆ เราจะรู้สึกได้ถึงจังหวะการบีบตัวของหัวใจ
ซึ่งเราเรียกว่า ชีพจร
หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด
เพราะเป็นอวัยวะที่บอกได้ว่าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่
ถ้าหากหัวใจหยุดเต้นก็หมายถึงว่า คนคนนั้นเสียชีวิตแล้ว การเต้นของหัวใจนั้น
ในคนปกติหัวใจจะเต้นประมาณ 70-80 ครั้งต่อนาที
หัวใจต้องทำงานหนักตลอดชีวิต
ทั้งเวลาหลับและตื่น เวลาที่หัวใจจะได้พักผ่อนบ้างก็คือตอนที่เรานอนหลับ
หัวใจจะเต้นช้าลง เราจึงต้องระมัดระวังรักษาหัวใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ
โดยอย่าให้หัวใจต้องทำงานหนักมากจนเกินไป
2.3 กระเพาะอาหาร มีรูปร่างเหมือนน้ำเต้า
คล้ายกระเพาหมู มีความจะประมาณ 1
ลิตร อยู่ต่อหลอดอาหารและอยู่ในช่องท้องค่อนไปทาด้านซ้าย
หน้าที่สำคัญของกระเพาะอาหาร
คือ มีหน้าที่ในการย่อยอาหารที่มีขนาดเล็กลง และละลายให้เป็นสารอาหาร
แล้วส่งอาหารที่ย่อยแล้วไปยังลำไส้เล็ก แล้วลำไส้เล็กจะดูดซึมไปใช้ประโยชน์แก่ร่างกายต่อไป
ส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์ที่เรียกว่ากากอาหารจะถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่
เพื่อขับถ่ายออกจากร่างกายเป็นอุจจาระต่อไป สิ่งที่ช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารก็คือ
น้ำย่อยซึ่งมีสภาพเป็นกรด น้ำย่อยในกระเพาะจะมีเป็นจำนวนมากเมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร
ถ้าไม่รับประทานอาหารให้ตรงเวลาน้ำย่อยจะกัดเนื้อเยื่อในบริเวณกระเพาะได้เช่นกัน
อาจจะทำให้เกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ วิธีที่จะช่วยป้องกันได้ก็คือ
ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ และรับประทานอาหารให้ตรงเวลา งดรับประทานอาหารที่มีรสจัด
2.4 ลำไส้เล็ก มีลักษณะเป็นท่อกลวงยาวประมาณ
6 เมตร
ขดอยู่ในช่องท้องตอนบน ปลายบนเชื่อมกับกระเพาะอาหาร ส่วนปลายล่างต่อกับลำไส้ใหญ่
หน้าที่สำคัญของลำไส้เล็ก
คือ ย่อยอาหารต่อจากกระเพาะอาหาร จนอาหารมีขนาดเล็กพอที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
เพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
2.5
ลำไส้ใหญ่ เป็นอวัยวะที่อยู่ในระบบทางเดินอาหาร
ลำไส้ใหญ่ของคนมีความยาวประมาณ 1.5
เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร
แบ่งออกเป็น3ส่วน คือ
(1)
กระเปาะลำไส้ใหญ่ เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนแรก ต่อจากลำไส้เล็ก
ทำหน้าที่รับกากอาหารจากลำไส้เล็ก
(2) โคลอน (Colon ) เป็นลำไส้ใหญ่ส่วนที่ยาวที่สุดประกอบด้วยลำไส้ใหญ่ขวา
ลำไส้ใหญ่กลาง และลำไส้ใหญ่ซ้าย มีหน้าที่ดูดซึมน้ำและพวกวิตามินบี12
ที่แบคที่เรียในลำไส้ใหญ่สร้างขึ้น และขับกากอาหารเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ส่วนต่อไป
(3) ไส้ตรง
เมื่อกากอาหารเข้าสู่ไส้ตรงจะทำให้เกิดความรู้สึกอยากถ่ายขึ้น
เพราะความดันในไส้ตรงเพิ่มขึ้นเป็นผลทำให้กล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักด้านใน
ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระออกทางทวารหนักต่อไป
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่
(1)
ช่วยย่อยอาหารเพียงเล็กน้อย
(2) ถ่ายระบายกากอาหาร
ออกจากร่างกาย
(3)
ดูดซึมน้ำและสารอิเล็คโตรลัยต์ เช่น โซเดียม และเกลือแร่อื่น ๆ จากอาหารที่ถูกย่อยแล้ว
ทีเหลืออยู่ในกากอาหาร รวมทั้งวิตามินบางอย่างที่สร้างจากแบคทีเรีย ซึ่งอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่
ได้แก่ วิตามินบีรวม วิตามินเค ด้วยเหตุนี้จึงเป็นช่องทางสำหรับให้น้ำ
อาหารและยาแก่ผู้ป่วยทางทวารหนักได้
(4)
ทำหน้าที่เก็บอุจจาระไว้จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรที่จะถ่ายออกนอกร่างกาย
1.5 ไต เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งในระบบขับถ่าย
จะขับถ่ายของเสียจากร่างกายออกมาเป็นน้ำปัสสาวะ ไตของคนเรามี 2 ข้าง
มีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่วแดง ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร
อยู่ติดผนังของท้องด้านหลักต่ำกว่ากระดูกซี่โครงเล็กน้อย
หน้าที่สำคัญของไต คือ
กรองของเสียออกจากเลือดแดง แล้วขับของเสียออกนอกร่างกายในรูปของปัสสาวะ
ใบงาน
ครั้งที่ 1 เรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย
1. ให้ผู้เรียนในกลุ่มช่วยกันศึกษาเนื้อหาความรู้จากใบความรู้และร่วมสรุปเนื้อหานำเสนอหน้าชั้นเรียนตามเนื้อหาในใบงาน
ความหมายของการเจริญเติบโต

ความหมายของพัฒนาการของมนุษย์
![]() |
พัฒนาการของมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
ใบงาน เรื่อง
ระบบการทำงานของอวัยวะภายนอกและระบบการทำงานของอวัยวะภายใน
1.
ให้ผู้เรียนในกลุ่มช่วยกันศึกษาเนื้อหาความรู้จากหนังสือเรียน/ใบความรู้
และเขียนสรุปเนื้อหา

/
2.จงบอกว่าอวัยวะภายนอกมีอะไรบ้าง และหน้าที่ของอวัยวะนั้น ๆ
ชื่ออวัยวะ
|
ส่วนประกอบ
|
ทำหน้าที่
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ใบงานเรื่อง
ระบบการทำงานของอวัยวะภายใน
1.
ให้ผู้เรียนในกลุ่มช่วยกันศึกษาเนื้อหาความรู้จากหนังสือเรียน/ใบความรู้
และเขียนสรุปเนื้อหา

2.จงบอกว่าอวัยวะภายในมีอะไรบ้าง และหน้าที่ของอวัยวะนั้น ๆ
ชื่ออวัยวะ
|
ส่วนประกอบ
|
ทำหน้าที่
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
แบบทดสอบย่อย เรื่อง
การเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัย
1.
พัฒนาการในวัยต่างๆ แบ่งออกเป็นกี่ช่วงวัย
ก. 3 ข.4 ค.5 ง.6
2.
ข้อใดกล่าวผิด
ก.
อัตราพัฒนาการในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะเจริญเติบโต ข. พัฒนาการเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา
ค.
พัฒนาการจะเป็นไปตามแบบฉบับของตัวเอง ง.
อัตราพัฒนาการของเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้
3.
ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก.
พัฒนาการทางด้านร่างกายสติปัญญา อารมณ์และสังคมจะมีความสัมพันธ์กัน
ข.
พัฒนาการจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่มีการเสื่อม
ค.
พัฒนาการเป็นไปตามลักษณะ ไม่สามารถทำนายได้
ง.
พัฒนาการจะเริ่มตั้งแต่คลอดออกมาจนถึงวัยชรา
4.
วัยใดที่มักประสบปัญหาสุขภาพมากกว่าวัยอื่น มีอาการหลงลืม มักจะจำเรื่องราวในอดีต
ก. วัยเด็ก
ข. วัยรุ่น
ค. วัยผู้ใหญ่
ง. วัยชรา
5.
ข้อใดกล่าวถึงความหมายของพัฒนาการมนุษย์ถูกต้องที่สุด
ก. การเปลี่ยนแปลงในขนาดรูปร่าง สัดส่วน
ข.การเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ทุกส่วนที่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิต
ค.การเปลี่ยนแปลงในขนาดรูปร่าง หน้าตา
ง.ถูกทุกข้อ
เฉลย
1.ค 2.ก 3 ก 4.ค 5.
ข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น