วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แผนการสอน ครั้งที่ 11

แผนการจัดการเรียนรู้ สาระความรู้พื้นฐาน รายวิชา  ศิลปศึกษา ทช 21003 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (2 หน่วยกิต)
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ครั้งที่
รายวิชา/หัวเรื่อง
เนื้อหา
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
การจัดกระบวนการเรียนรู้
ชั่วโมง
สื่อ/แหล่งเรียนรู้
การวัดและประเมินผล
2
ดนตรีไทย
ดนตรีไทย
1. คุณค่าของความงามและไพเราะของเพลงและเครื่องดนตรีไทย
2. ประวัติ และกิจกรรมกระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญาทางด้านเพลงและดนตรีไทย
3. วิเคราะห์ วิพากย์ วิจารณ์ งานด้านดนตรีไทย
3. อนุรักษ์สืบทอดภูมิปัญญาด้านดนตรีไทย

ขั้นที่ 1 การกำหนดสภาพปัญหา
     ผู้เรียนศึกษา คุณค่าของความงามและไพเราะของเพลงและเครื่องดนตรีไทยประวัติของคุณความรักและหวงแหนของภูมิปัญญาตลอดจนกิจกรรมกระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญาทางด้านเพลงและดนตรีไทย
ขั้นที่ 2 การแสวงหาข้อมูลและการเรียนรู้
ผู้เรียนศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองในเรื่องที่ครูกำหนดให้
ขั้นที่ 3 การปฏิบัติและการนำไปใช้
ผู้เรียนมีความรู้เรื่องคุณค่าของความงามและไพเราะของเพลงและเครื่องดนตรีไทยประวัติของคุณความรักและหวงแหนของภูมิปัญญาตลอดจนกิจกรรมกระบวนการถ่ายทอดภูมิปัญญาทางด้านเพลงและดนตรีไทย

ขั้นที่ 4 การประเมินผล
1.ครูให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน              จำนวน 5 ข้อ
2. ครูและผู้เรียนเฉลยแบบทดสอบร่วมกัน
3. มอบหมายกรต.ให้ผู้เรียนไปสรุปและทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อต่อไปนี้
- ให้บอกเครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ และวิธีการดูแลรักษา บอกมา 3 ชนิด
- บอกแนวทางอนุรักษ์เพลง และดนตรีพื้นบ้าน
1
1.Internet
2.ใบความรู้
3.หนังสือแบบเรียน
4.ผู้รู้/ห้องสมุด

-แบบบันทึกการเรียนรู้
- แบบทดสอบย่อย


                                  1. ใบความรู้   เรื่องเครื่องดนตรีไทย(ภาพประกอบ  ปรวัติความเป็นมา และวิธีการเล่นเครื่องดนตรีไทย)
    2.ใบความรู้   เรื่องเทคนิควิธีการเล่นเครื่องดนตรีไทย
วิธีการเล่นดนตรีไทย
 การฝึกซออู้    การเทียบเสียงซออู้
     ใช้ขลุ่ยเพียงออเป่าเสียง ซอล โดยปิดมือบนแ+ละนิ้วค้ำ เป่าลมกลางๆ จะได้เสียง ซอล เพื่อเทียบเสียงสายเอก ส่วนสายทุ้ม ให้ปิดมือล่างหมด จนถึงนิ้วก้อย เป่าลมเบา ก็จะได้เสียง โด ตามต้องการ เพื่อเทียบเสียงสายทุ้ม ให้ตรงกับเสียงนั้น
  การนั่งสีซอ      นั่งขัดสมาธิบนพื้น หากเป็นสตรีให้นั่งพับเพียบขาขวาทับขาซ้าย วางกะโหลกซอไว้บนขาพับด้านซ้าย มือซ้ายจับคันซอให้ตรงกับที่มีเชือกรัดอก ให้ต่ำกว่าเชือกรัดอกประมาณ 1 นิ้ว ส่วนมือขวาจับคันสี-โดยแบ่งคันสีออกเป็น 5 ส่วน แล้วจับตรง 3 ส่วนให้คันสีพาดไปบนนิ้วชี้ และนิ้วกลางในลักษณะหงายมือ ส่วนนิ้วหัวแม่มือ ใช้กำกับคันสีโดยกดลงบนนิ้วชี้ นิ้วนางและนิ้วก้อยให้งอติดกัน เพื่อทำหน้าที่ดัน คันชักออกเมื่อจะสีสายเอก และ ดึงเข้าเมื่อจะสีสายทุ้ม
  การสีซอ        วางคันสีให้ชิดด้านใน ให้อยู่ในลักษณะเตรียมชักออก แล้วลากคันสีออกช้าๆด้วยการใช้วิธีสีออก ลากคันสีให้สุด แล้วเปลี่ยนเป็นสีเข้า ในสายเดียวกัน ทำเรื่อยไปจนกว่าจะคล่อง พอคล่องดีแล้ว ให้เปลี่ยนมาเป็นสีสายเอก โดยดันนิ้วนางกับนิ้วก้อยออกไปเล็กน้อย ซอจะ เปลี่ยนเป็นเสียง ซอล ทันที ดังนี้คันสี ออก เข้า ออก เข้า เสียง โด โด ซอล ซอล ฝึกเรื่อยไปจนเกิดความชำนาญข้อควรระวัง ต้องวางซอให้ตรง โดยใช้มือซ้ายจับซอให้พอเหมาะ อย่าให้แน่นเกินไป อย่าให้หลวมจนเกินไป ข้อมือที่จับซอต้องทอดลง ไปให้พอดี ขณะนั่งสียืดอกพอสมควร อย่าให้หลังโกงได้ มือที่คีบซอให้ออกกำลังพอสมควรอย่าให้ซอพลิกไปมา
การฝึกซอด้วง   การเทียบเสียงซอด้วง
     ใช้ขลุ่ยเพียงออเป่าเสียง ซอล โดยการปิดมือบน และ นิ้วค้ำ เป่าลมกลางๆ ก็จะได้เสียง ซอล ขึ้นสายทุ้มของซอด้วง ให้ตรงกับเสียง ซอลนี้ ต่อไปเป็นเสียงสายเอก ใช้ขลุ่ยเป่าเสียง เร โดยปิดนิ้วต่อไปอีก 3 นิ้ว เป่าด้วยลมแรง ก็จะได้เสียง เร ขึ้นสายเอกให้ตรงกับเสียง เร นี้
การนั่งสีซอ     นั่งพับเพียบบนพื้น จับคันซอด้วยมือซ้าย ให้ได้กึ่งกลางต่ำกว่ารัดอกลงมาเล็กน้อย ให้ซอโอนออกกจากตัวนิดหน่อย คันซออยู่ในอุ้งมือ ซ้าย ตัวกระบอกซอวางไว้บนขา ให้ตัวกระบอกซออยู่ในตำแหน่งข้อพับติดกับลำตัว มือขวาจับคันสีด้วยการแบ่งคันสีให้ได้ 5 ส่วน แล้วจึง จับส่วนที่ 3 ข้างท้าย ให้คันสีพาดไปบนมือนิ้วชี้ นิ้วกลางเป็นส่วนรับคันสี ใช้นิ้วหัวแม่มือกดกระชับไว้ นิ้วนางกับนิ้วก้อยงอไว้ส่วนใน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดันคันสีออกมาหาสายเอก และ ดึงเข้าเมื่อต้องการสีสายทุ้ม
   การสีซอ      วางคันสีไว้ด้านใน ให้อยู่ในลักษณะเตรียมชักออก ค่อยๆลากคันสีออกให้เกิดเสียง ซอล จนสุดคันชัก แล้วเปลี่ยนเป็นสีเข้าในสาย เดียวกัน (ทำเรื่อยไปจนกว่าจะคล่อง) พอซ้อมสายในคล่องดีแล้ว จึงเปลี่ยนมาสีสายเอกซึ่งเป็นเสียง เร โดยการใช้นิ้วนางกับนิ้วก้อยมือ ขวา ดันคันสีออก ปฏิบัติจนคล่องฝึกสลับให้เกิดเสียงดังนี้
คันสี ออก เข้า ออก เข้า  เสียง ซอล ซอล เร เร  ข้อควรระวัง ต้องวางซอให้ตรง โดยใช้ข้อมือซ้ายควบคุม อย่าให้ซอบิดไปมาได้
เพลงไทย หมายถึง เพลงที่แต่งขึ้นตามหลักของดนตรีไทย มีลีลาในการขับร้องและบรรเลงแบบไทย โดยเฉพาะและแตกต่างจากเพลงของชาติอื่นๆ เพลงไทยแต่เดิมมักจะมีประโยคสั้นๆและมีจังหวะค่อนข้าง เร็วส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากเพลงพื้นบ้าน หรือเพลงสำหรับประกอบการรำเต้นเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง ต่อมา เมื่อต้องการจะใช้เป็นเพลงสำหรับร้องขับกล่อม และประกอบการแสดงละครก็จำเป็นต้อง ประดิษฐ์ ทำนองให้มีจังหวะช้ากว่าเดิม และมีประโยคยาวกว่าเดิม ให้เหมาะสมที่จะร้องได้ไพเราะ  จึงได้คิด แต่งทำนอง ขยายส่วนขึ้นจากของเดิมเป็นทวีคูณ เรียกเพลงในอัตรานี้ว่า เพลงสองชั้น เพราะต้องแต่งขยาย จากเพลงเดิม อีกชั้นหนึ่ง และเรียกเพลงในอัตราเดิมนั้นว่า เพลงชั้นเดียวเพลงไทยในสมัยอยุธยาเป็นเพลง สองชั้นและชั้นเดียว เกือบทั้งสิ้น เพราะต้องใช้ร้องสำหรับขับกล่อม และประกอบการแสดงละคร ซึ่งเป็นที่ นิยมกันมากในสมัยนั้น
        สมัยรัตนโกสินทร์เป็นสมัยที่นิยมเล่นสักวากันมาก  ผู้เล่นสักวาจะต้องแต่งกลอนเป็นกลอนสดด้วยปฏิภาณ
ในปัจจุบัน ถ้าจะร้องอย่างเพลงสองชั้นเหมือนกับการร้องประกอบการแสดงละครจะทำให้ผู้แต่งมี เวลาคิดกลอน น้อยลง อาจแต่งไม่ทันหรืออาจไม่ไพเราะเท่าที่ควร จึงคิดแต่งทำนองเพลง ร้องขยายจาก ทำนองเพลงสองชั้น ขึ้น ไปอีกเท่าตัว สำหรับใช้ในการร้องสักวา เรียกเพลงในอัตรานี้ว่าเพลงสามชั้น
 ดังนั้น เพลงในอัตราสามชั้น จะมีความยาวเป็น ๒ เท่าของเพลงสองชั้น และเพลงสองชั้นจะมีความยาวเป็น ๒ เท่าของเพลงชั้นเดียว การบรรเลง จะเลือกบรรเลงเพลงอัตราหนึ่งอัตราใดเพียงอย่างเดียวก็ได้ ตามโอกาสที่เหมาะสม ถ้าบรรเลงติดต่อกันทั้ง ๓ อัตรา เรียกว่า เพลงเถา
ประเภทของเพลงไทย  อาจแบ่งออกได้เป็นพวกๆ คือ     
๑. เพลงสำหรับบรรเลงดนตรีล้วนๆ ไม่มีการขับร้อง  เป็นเพลงที่ใช้บรรเลงประโคมพิธีต่างๆ เพลงโหมโรง และเพลงหน้าพาทย์ จะเป็นเพลงสำหรับใช้ประกอบกิริยาอาการและแสดงอารมณ์ต่างๆ ของการรำ
๒. เพลงสำหรับขับร้อง  คือ เพลงซึ่งร้องแล้วรับด้วยการบรรเลง เรียกว่า ร้องส่งดนตรี เช่น เพลงประกอบ การขับเสภา(ร้องส่งเสภา) เพลงที่ร้องส่งเพื่อฟังไพเราะทั่วไปส่วนมากจะเป็นเพลงเถาและเพลงตับ
เพลงชั้นเดียว
เพลงชั้นเดียว หมายถึง เพลงที่มีจังหวะเร็ว หรือเรียกว่าเพลงเร็ว จะสังเกตได้จากเสียงฉิ่ง ปกติแล้ว การตีฉิ่งจะเริ่มด้วยเสียง ฉิ่ง และจบด้วยเสียง ฉับ ตีสลับกันไปจนกว่าจะจบการบรรเลง ถ้าช่วงระหว่างเสียงฉิ่ง และฉับเร็วกระชับติดกันก็แสดงว่าเป็นเพลงชั้นเดียว หรือสังเกตได้จากทำนองร้อง เพลงชั้นเดียวจะร้องเอื้อนน้อย หรือไม่มีการร้องเอื้อนเลยก็ได้
เพลงชั้นเดียว ใช้ขับร้องและบรรเลงประกอบการแสดงมหรสพต่างๆ ตัวอย่างเพลงชั้นเดียว

เพลงสองชั้น  หมายถึง เพลงที่มีจังหวะปานกลาง ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ส่วนใหญ่เป็นเพลงสั้นๆ ที่ร้องและจำทำนองง่าย มีความยาวกว่าเพลงชั้นเดียวหนึ่งเท่าตัว  หรือสังเกตจากเสียงฉิ่ง ช่วงระหว่างเสียงฉิ่งและฉับห่างกันปานกลาง มีทำนองร้อง การร้องเอื้อนไม่มากไม่น้อย ขึ้นอยู่กับลักษณะของเพลง
เพลงสองชั้น ใช้ขับร้องและบรรเลงเพื่อเป็นการขับกล่อม และประกอบการแสดงมหรสพต่างๆ ตัวอย่างเพลงสองชั้น
เพลงสามชั้น  หมายถึง เพลงที่มีจังหวะช้า ต้องใช้เวลาบรรเลงและขับร้องนานกว่าเพลงในอัตราอื่นๆ
ถ้าจะสังเกตเสียงฉิ่ง ช่วงระหว่างเสียงฉิ่งและฉาบห่างกันมาก ทำนองร้องจะมีการร้องเอื้อนยาวๆ   เพลงสามชั้น ใช้ขับร้องและบรรเลงในโอกาสทั่วไป
เพลงเถา  หมายถึง เพลงขนาดยาวที่มีเพลง ๓ ชนิดติดต่ออยู่ในเพลงเดียวกันโดยการบรรเลงเพลงสามชั้น ก่อน แล้วเป็นเพลงสองชั้น ลงมาจนถึงเพลงชั้นเดียว เรียกว่า เพลงเถา  ตัวอย่าง เพลงเขมรพวงเถา เดิมเป็นเพลงสองชั้น ต่อมา หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้คิดแต่งขึ้นเป็นสามชั้นดำเนินทำนองเป็นคู่กัน กับเพลงเขมรเลียบพระนคร เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๖๐ แล้วหมื่นประคมเพลงประสาน (ใจ นิตยผลิน) ได้ตัดลงเป็นชั้นเดียว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ และมีทำนองชั้นเดียวโดย นายเหมือน ดุริยะประกิต เป็นผู้แต่งเพลงเถานิยมใช้บรรเลงและขับร้องในรูปของเพลงรับร้อง คือเมื่อร้องจบท่อน ดนตรีก็บรรเลงรับไม่นิยมนำเพลงเถามาร้องให้ดนตรีบรรเลงคลอ หรือบรรเลงลำลองแต่อย่างใด 
เพลงเกร็ด    เป็นเพลงขนาดย่อม นำมาขับร้องและบรรเลงเป็นเพลงๆไปอาจเป็นอัตราจังหวะใด จังหวะหนึ่งในชุดของเพลงเถา หรือเป็นเพลงใดเพลงหนึ่งจากชุดเพลงตับหรือเพลงเรื่องก็ได้   เพลงเกร็ด ที่ขับร้องและบรรเลงกันอยู่โดยทั่วๆ ไป มักจะมีบทร้องที่มีความหมาย มีคติมีความซาบซึ้ง ประทับใจและมีช่วง ทำนองที่มีความไพเราะเป็นพิเศษ  ตัวอย่างเพลงเกร็ด เช่น เพลงแป๊ะ (สามชั้น) เพลงแขกสาหร่าย (สองชั้น)
และเพลงเต่าเห่ (สองชั้น)
เพลงละคร
เพลงละคร หมายถึง เพลงที่ใช้ขับร้องและบรรเลงในการแสดงโขน ละคร และมหรสพต่างๆ มีทั้งร้องแล้วดนตรีรับ ทั้งร้องคลอดนตรี เคล้า และลำลอง ขึ้นอยู่กับลักษณะการแสดงนั้นๆ
        ตัวอย่างเพลงละคร ได้แก่ เพลงอัตราสองชั้น เช่น เพลงสร้อยเพลง เพลงเวสสุกรรม เพลงพญาโศก หรือเพลงในอัตราเดียว เช่น เพลงนาคราช เพลงหนีเสือ เพลงลิงโลด  และเพลงพิเศษที่ใช้เฉพาะละครแท้ๆ เช่น เพลงช้าปี่ เพลงโอ้ชาตรี เพลงโอ้โลม เพลงโอ้ร่าย เพลงยานี เพลงชมตลาด เป็นต้น
        เพลงที่ใช้ร้องประกอบละครหรือมหรสพอื่นๆ จะต้องใช้ให้ถูกต้องตามอารมณ์ของตัวละคร เช่น เพลงพญาโศก เพลงสร้อยเพลง ใช้สำหรับอารมณ์โศก  เพลงนาคราช เพลงลิงโลด ใช้สำหรับอารมณ์โกรธ เพลงโอ้โลม เพลงโอ้ชาตรี ใช้สำหรับอารมณ์รักหรือเวลาเกี้ยวพาราสี เป็นต้น
เพลงลา  หมายถึง เพลงที่ผู้ขับร้องและบรรเลงแสดงเป็นอันดับสุดท้ายก่อนที่การแสดงจะจบลง ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนของการแสดงกิจกรรมการบรรเลงดนตรีไทย ที่โบราณจารย์ได้กำหนดไว้ กล่าวคือ เพลงแรกที่บรรเลงคือเพลงโหมโรง และเพลงสุดท้ายต้องบรรเลงเพลงลา เพื่อเป็นการร่ำลาให้ศีลให้พรแก่เจ้าของงานหรือผู้ชมผู้ฟัง  เนื้อร้องมีความหมายในทางร่ำลา อาลัย อาวรณ์ และให้ศีลให้พรแล้ว มักจะมี สร้อย คือ มีการร้องว่า "ดอกเอ๋ย เจ้าดอก..." และจะมีเครื่องดนตรีชิ้นใดชิ้นหนึ่ง บรรเลงเลียนเสียงร้องให้คล้ายคลึงกันมากที่สุด ซึ่งเรียกกันเป็นทางภาษาสามัญว่า "ว่าดอก" เครื่องดนตรีที่ใช้ก็อาจใช้ซออู้
        เพลงลาที่นิยมใช้บรรเลงกัน เช่น เพลงเต่ากินผักบุ้ง เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง เพลงอกทะเล
เพลงเรื่อง  คือ เพลงที่โบราณาจารย์ประดิษฐ์ขึ้น โดยนำเอาเพลงที่มีลักษณะใกล้เคียงกันหลายๆ เพลงมาบรรเลงติดต่อกันเป็นชุด เป็นเรื่อง เพื่อความสะดวกในการใช้บรรเลงในโอกาสต่างๆ กัน เช่น เพลงเรื่อง นางหงส์ สำหรับใช้บรรเลงประกอบพิธีศพ เพลงเรื่องฉิ่งพระฉันสำหรับใช้บรรเลงประกอบพระฉัน ภัตตาหาร และเพลงเรื่องสร้อยสน สำหรับใช้บรรเลงในโอกาสทั่วๆ ไป  นอกจากนั้น ยังเป็นการรวบรวมเพลงที่มีลักษณะคล้ายๆ กันมาไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการจดจำ ที่น่าสังเกตคือ มักจะนิยมบรรเลงเพลงเรื่อง โดยการบรรเลงเฉพาะดนตรี ไม่มีร้อง
        การบรรเลงเพลงเรื่อง โดยทั่วไปประกอบด้วยเพลงช้า เพลงสองไม้ เพลงเร็ว และจบลงด้วยเพลงลา เช่น เพลงเรื่องสร้อยสน ประกอบด้วยเพลงสร้อยสน เพลงพวงร้อย แล้วออกท้ายด้วยเพลงสองไม้ และเพลงเร็ว จบด้วยเพลงลา

เพลงโหมโรง หมายถึง เพลงที่บรรเลงในอันดับแรกสำหรับงานต่างๆ เพื่อเป็นการประกาศให้รู้ว่า ขณะนี้งานดังกล่าวกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และเป็นการบรรเลงเพื่อเคารพสักการะครูอาจารย์ และอัญเชิญเทพยดามายังสถานมงคลพิธีนั้นด้วย  
รายวิชาศิลปศึกษา  ทช 21003  เรื่อง   ดนตรีไทย
ให้ผู้เรียนเขียนบอกว่าภาพที่เห็นคือเครื่องดนตรีอะไร  อยู่ในประเภทใด  และมีวิธีการเล่นอย่างไร
001_002 กรับชื่อเครื่องดนตรี ……………………………
หัวเครื่อง copy1.                                         อยู่ในลักษณะของเครื่องดนตรีประเภทใด
                      ………………………………………………………
มีวิธีการเล่นอย่างไร
                                            ……………………….........................................
หัวเครื่อง copy2.       001_003 กรับพวง                                      ชื่อเครื่องดนตรี ………………………………
                      อยู่ในลักษณะของเครื่องดนตรีประเภทใด                                               
                      ………………………………………………………
มีวิธีการเล่นอย่างไร
                                             …………………………………………………
ชื่อเครื่องดนตรี ……………………………
3.                                                  อยู่ในลักษณะของเครื่องดนตรีประเภทใด
                      ………………………………………………………
มีวิธีการเล่นอย่างไร
                                            ………………………………………………………
001_012 ปีชวา1_09ระนาดทุ้ม4.                                             ชื่อเครื่องดนตรี………………………………
อยู่ในลักษณะของเครื่องดนตรีประเภทใด
………………………………………………………
มีวิธีการเล่นอย่างไร
………………………………………………………

001_013 ปีใน6. .                                            ชื่อเครื่องดนตรี………………………………
อยู่ในลักษณะของเครื่องดนตรีประเภทใด
………………………………………………………
มีวิธีการเล่นอย่างไร
………………………………………………………

7.                                         ชื่อเครื่องดนตรี………………………………
อยู่ในลักษณะของเครื่องดนตรีประเภทใด
………………………………………………………
มีวิธีการเล่นอย่างไร
………………………………………………………
001_011 ฆ้องโหม่ง
8.                                          ชื่อเครื่องดนตรี………………………………
อยู่ในลักษณะของเครื่องดนตรีประเภทใด
………………………………………………………
มีวิธีการเล่นอย่างไร
………………………………………………………
ครูเฉลย และอธิบายเพิ่มเติม ผู้เรียนจดบันทึกและสรุปบทเรียนร่วมกับครู 
การบ้าน     ให้ผู้เรียนศึกษาเครื่องดนตรีไทย มา  2 ชนิด พร้อมอธิบายชื่อและขั้นตอนการเล่น
แบบทดสอบย่อย
เลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1.       ข้อใดไม่ที่มาของเครื่องดนตรีในกลุ่มเครื่องสาย
     ก.การดัดแปลงอาวุธ  ข. ธนูและหน้าไม้   ค. พิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธ์  ง.เครื่องมือที่ใช้ในการต่อสู้และล่าสัตว์
2.       เครื่องดนตรีต่อไปนี้ข้อใดเป็นเครื่องดีดทั้งหมด
     ก. พิณน้ำเต้า ซออีสาน พิณอีสาน      ข. ซึง จะเข้า สะล้อ
     ค. พิณน้ำเต้า พิณอีสาน กระจับปี่      ง. ซอสามสาย ซออีสาน พิณอีสาน
     3. เครื่องดนตรีต่อไปนี้ ข้อใดเป็นเครื่องสีทั้งหมด
               ก.  ซอสามสาย ซออีสาน พิณอีสาน                            ข.  ซออู้ ซอด้วง ซึง
               ค.  พิณน้ำเต้า ซอสามสาย ซออีสาน                   ง.  ซอสามสาย สะล้อ ซออีสาน
       4,  การเกิดเสียงของเครื่องดนตรีเกิดขึ้นได้อย่างไร
               ก. ใช้มือตีบนกระโลกเครื่องดนตรี
              ข.  ใช้นิ้วกดบนสาย  ใช้วัสดุดีดให้เกิดการสั่นของเสียงบนกะโหลกเสียง
               ค.  ใช้มือดกบนสายเครื่องดนตรี
               ง.  ใช้วัสดุกดลงบนลูกดีด ใช้มือดีบนเครื่องดนตรี
        5, ข้อใดไม่เกี่ยวกับเครื่องดนตรีประเภทสี
               ก.  สายของเครื่องสีจะมีตั้งแต่ 2 จนไปถึง 4 สาย
               ข.  เสียงของเครื่องสีเกิดจากการสั่นสะเทือนของสาย
               ค.  กะลามะพร้าว งาช้าง ไม้ คือวัสดุที่ใช้ทำกะโหลดซอ
               ง.  ไมหรือเอ็น คือส่วนประกอบคันชัก
แผนการจัดกระบวนการเรียนรู้
รายวิชา ทช11003 ศิลปศึกษา ระดับประถมศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558
ครั้งที่
รายวิชา/หัวเรื่อง
เนื้อหา
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
การจัดกระบวนการเรียนรู้
ชั่วโมง
สื่อ/แหล่งเรียนรู้
การวัดและประเมินผล
3
ดนตรีพื้นบ้าน
ความหมาย ความสำคัญ ความเป็นมา วิวัฒนาการ คุณค่า ความงาม ของดนตรีพื้นบ้าน การอนุรักษ์ภูมิปัญญา วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น
1. อธิบายความหมาย ความสำคัญประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของเครื่องดนตรีพื้นบ้านชนิดต่าง ๆ
2. อธิบายลักษณะและประเภทของเครื่องดนตรีพื้นบ้านต่าง ๆ
3. อธิบาย วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ คุณค่าของความงามและความไพเราะของดนตรีและเพลงพื้นบ้าน
4. อธิบาย ประวัติ ความเป็นมาของภูมิปัญญาทางดนตรีและเพลงพื้นบ้าน
การจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบ Onie Model
ขั้นตอนที่ 1ขั้นกำหนดสภาพปัญหาความต้องการในการเรียนรู้ (O-Orientation)
1.ครูและผู้เรียนร่วมกับสนทนาโดยครูได้ตั้งประเด็นคำถามนักศึกษาเคยฟัง เรื่องเพลงพื้นบ้าน หรือดนตรีพื้นบ้าน อะไรบ้าง
ขั้นตอนที่ 2 การแสวงหาความรู้ (N=New ways of learning)
1. ครูให้ผู้เรียนดูภาพเครื่องดนตรีพื้นบ้าน และเปิดเพลงประกอบเพลงพื้นบ้าน
2. ครูและผู้เรียนสรุปเนื้อหาพอคร่าว ๆ ร่วมกันหลังจากดูภาพ และเครื่องดนตรีพื้นบ้าน
ขั้นตอนที่ 3 การปฏิบัติและการนำไปประยุกต์ใช้(l=lmplementation)
1. ครูให้นักศึกษา ศึกษาใบความรู้ เรื่องประวัติ วิวัฒนาการของดนตรีพื้นบ้านชนิดต่าง ๆ
 1
1.  ใบความรู้ เรื่องประวัติความเป็นมาของดนตรีพื้นบ้าน
2.  หนังสือเรียน รายวิชา ศิลปศึกษา ระดับประถมศึกษา (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554) หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
  

1. ทดสอบย่อย
2. แบบบันทึกการเรียนรู้



ครั้งที่
รายวิชา/หัวเรื่อง
เนื้อหา
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
การจัดกระบวนการเรียนรู้
ชั่วโมง
สื่อ/แหล่งเรียนรู้
การวัดและประเมินผล




2. ครูให้ผู้เรียนตอบคำถามใน ประเด็น
- ดนตรีที่นักศึกษาได้เรียนรู้มีอะไรบ้าง
- ตอบคำถามจากใบงาน
- ในชุมชนของนักศึกษามีภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านนี้หรือไม่ และมีแนวทางอนุรักษ์อย่างไร
3. ครูสุ่มตัวนักศึกษานำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
4. ครูและผู้เรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน
ขั้นตอนที่ 4การประเมินผล (E=Evaluation)
1.ครูให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนจำนวน5ข้อ
2. ครูและผู้เรียนเฉลยแบบทดสอบร่วมกัน
3. มอบหมายกรต.ให้ผู้เรียนไปสรุปและทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อต่อไปนี้
- ให้บอกเครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ และวิธีการดูแลรักษา บอกมา 3 ชนิด
- บอกแนวทางอนุรักษ์เพลง และดนตรีพื้นบ้าน








ใบความรู้  เรื่อง ดนตรีพื้นบ้านของไทย
ดนตรีพื้นบ้านของไทย สามารถแบ่งออกตามภูมิภาคต่างๆ ของไทยดังนี้
ดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภท ดีด สี ตี เป่า โดยเครื่องดีด ได้แก่ จะเข้และจ้องหน่อง เครื่องสีได้แก่ ซอด้วงและซออู้ เครื่องตีได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดทอง ระนาดทุ้มเล็ก ฆ้อง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบและกรับ เครื่องเป่าได้แก่ ขลุ่ยและปี่ ลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง คือ วงปี่พาทย์ของภาคกลางจะมีการพัฒนาในลักษณะผสมผสานกับดนตรีหลวง โดยมีการพัฒนาจากดนตรีปี่และกลองเป็นหลักมาเป็นระนาดและฆ้องวงพร้อมทั้งเพิ่มเครื่องดนตรี มากขึ้นจนเป็นวงดนตรีที่มีขนาดใหญ่ รวมทั้งยังมีการขับร้องที่คล้ายคลึงกับปี่พาทย์ของหลวง ซึ่งเป็นผลมาจากการถ่ายโอนโยงทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมราษฎร์และหลวง
ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ ในยุคแรกจะเป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด ได้แก่ ท่อนไม้กลวงที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในเรื่องภูตผีปีศาจและเจ้าป่า เจ้าเขา จากนั้น ได้มีการพัฒนาโดยนำหนังสัตว์มาขึงที่ปากท่อนไม้กลวงไว้กลายเป็นเครื่องดนตรีที่เรียกว่ากลอง ต่อมามีการพัฒนารูปแบบของกลองให้แตกต่างออกไป เช่น กลองที่ขึงปิดด้วยหนังสัตว์เพียงหน้าเดียว ได้แก่ กลองรำมะนา กลองยาว กลองแอว และกลองที่ขึงด้วยหนังสัตว์ทั้งสองหน้า ได้แก่ กลองมองเซิง กลองสองหน้า และตะโพนมอญ นอกจากนี้ยังมีเครื่องตีที่ทำด้วยโลหะ เช่น ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ ส่วนเครื่องดนตรีประเภทเป่า ได้แก่ ขลุ่ย ย่ะเอ้ ปี่แน ปี่มอญ ปี่สุรไน และเครื่องสี ได้แก่ สะล้อลูก 5 สะล้อลูก 4 และ สะล้อ 3 สาย และเครื่องดีด ได้แก่ พิณเปี๊ยะ และซึง 3 ขนาด คือซึงน้อย ซึงกลาง และซึงใหญ่ สำหรับลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ คือ มีการนำเครื่องดนตรีประเภท ดีด สี ตี เป่า มาผสมวงกันให้มีความสมบูรณ์และไพเราะ โดยเฉพาะในด้านสำเนียงและทำนองที่พลิ้วไหวตามบรรยากาศ ความนุ่มนวลอ่อนละมุนของธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการผสมทางวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ และยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมในราชสำนักทำให้เกิดการถ่ายโยง และการบรรเลงดนตรีได้ทั้งในแบบราชสำนักของคุ้มและวัง และแบบพื้นบ้านมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น
ดนตรีพื้นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีวิวัฒนาการมายาวนานนับพันปี เริ่มจากในระยะต้น มีการใช้วัสดุท้องถิ่นมาทำเลียนเสียงจากธรรมชาติ ป่าเขา เสียงลมพัดใบไม้ไหว เสียงน้ำตก เสียงฝนตก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเสียงสั้นไม่ก้อง ในระยะต่อมาได้ใช้วัสดุพื้นเมืองจากธรรมชาติมาเป่า เช่น ใบไม้ ผิวไม้ ต้นหญ้าปล้องไม้ไผ่ ทำให้เสียงมีความพลิ้วยาวขึ้น จนในระยะที่ 3 ได้นำหนังสัตว์และเครื่องหนังมาใช้เป็นวัสดุเครื่องดนตรีที่มีความไพเราะและรูปร่างสวยงามขึ้น เช่น กรับ เกราะ ระนาด ฆ้อง กลอง โปง โหวด ปี่ พิณ โปงลาง แคน เป็นต้น โดยนำมาผสมผสานเป็นวงดนตรีพื้นบ้านภาคอีสานที่มีลักษณะเฉพาะตามพื้นที่ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอีสานเหนือ และอีสานกลางจะนิยมดนตรีหมอลำที่มีการเป่าแคนและดีดพิณประสานเสียงร่วมกับการขับร้อง ส่วนกลุ่มอีสานใต้จะนิยมดนตรีซึ่งเป็นดนตรีบรรเลงที่ไพเราะของชาวอีสานใต้ที่มีเชื้อสายเขมร นอกจากนี้ยังมีวงพิณพาทย์และวงมโหรีด้วย ชาวบ้านแต่ละกลุ่มก็จะบรรเลงดนตรีเหล่านี้กันเพื่อ ความสนุกสนานครื้นเครงใช้ประกอบการละเล่น การแสดงและพิธีกรรมต่างๆ เช่น ลำผีฟ้าที่ใช้แคนเป่าในการรักษาโรค และงานศพแบบอีสานที่ใช้วงตุ้มโมงบรรเลง นับเป็นลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านอีสานที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ
ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ มีลักษณะเรียบง่ายมีการประดิษฐ์เครื่องดนตรีจากวัสดุใกล้ตัวซึ่งสันนิษฐานว่าดนตรีพื้นบ้านดั้งเดิมของภาคใต้น่าจะมาจากพวกเงาะซาไกที่ใช้ไม้ไผ่ลำขนาดต่างๆ กันตัดออกมาเป็นท่อนสั้นบ้างยาวบ้าง แล้วตัดปากของกระบอกไม้ไผ่ให้ตรงหรือเฉียงพร้อมกับหุ้มด้วยใบไม้หรือกาบของต้นพืช ใช้ตีประกอบการขับร้องและเต้นรำ จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาเป็นเครื่องดนตรีแตร กรับ กลองชนิดต่างๆ เช่น รำมะนา ที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวมลายู กลองชาตรีหรือกลองตุ๊กที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงมโนรา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียตลอดจนเครื่องเป่า เช่น ปี้นอนและเครื่องสี เช่น ซอด้วง ซออู้ รวมทั้งความเจริญทางศิลปะการแสดงและดนตรีของเมืองนครศรีธรรมราช จนได้ชื่อว่าละครในสมัยกรุงธนบุรีนั้นล้วนได้รับอิทธิพลมาจากภาคกลาง นอกจากนี้ยังมีการบรรเลงดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ประกอบการละเล่นแสดงต่างๆ เช่น ดนตรีโนรา ดนตรีหนังตะลุง ที่มีเครื่องดนตรีหลักคือ กลอง โหม่ง ฉิ่ง และเครื่องดนตรีประกอบผสมอื่นๆ ดนตรีลิเกป่าที่ใช้เครื่องดนตรีรำมะนา โหม่ง ฉิ่ง กรับ ปี่ และดนตรีรองเง็งที่ได้รับแบบอย่างมาจากการเต้นรำของชาวสเปนหรือโปรตุเกสมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมีการบรรเลงดนตรีที่ประกอบด้วย ไวโอลิน รำมะนา ฆ้อง หรือบางคณะก็เพิ่มกีต้าร์เข้าไปด้วย ซึ่งดนตรีรองเง็งนี้เป็นที่นิยมในหมู่ชาวไทยมุสลิมตามจังหวัดชายแดน ไทยมาเลเซีย ดังนั้น ลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านภาคใต้จะได้รับอิทธิพลมาจากดินแดนใกล้เคียงหลายเชื้อชาติ จนเกิดการผสมผสานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากภาคอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องการเน้นจังหวะและลีลาที่เร่งเร้า หนักแน่น และคึกคัก เป็นต้น
 ใบงาน  ดนตรีพื้นบ้าน
1.       ให้ผู้เรียนบอกลักษณะของดนตรีพื้นบ้าน ...........................................................................................................................................................................
2.      กลองที่หนังสัตว์ขึงหน้าเดียว มีกลองใดบ้าง
...........................................................................................................................................................................
3.       กลองที่ใช้หนังสัตว์ขึงสองด้าน มีกลองใดบ้าง  ...........................................................................................................................................................................
4.      ให้ผู้เรียนบอกวิวัฒนาการและบอกเครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคต่าง ๆแยกตามประเภทของเครื่องดนตรี ดีด สี ตี   และเป่า
5.       ดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท ดีด ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท สี ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท ตี ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท เป่า ..............................................................................................................................
6.       ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ  ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท ดีด ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท สี ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท ตี ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท เป่า ..............................................................................................................................
7.       ดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน  ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท ดีด ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท สี ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท ตี ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท เป่า ..............................................................................................................................
8.       ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท ดีด ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท สี ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท ตี ..............................................................................................................................
เครื่องดนตรีประเภท เป่า ..............................................................................................................................
แบบทดสอบ
ให้ผู้เรียนเลือกคำถามที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
1.       สะล้อ  เป็นเครื่องดนตรีจัดอยู่ในข้อใด
ก.       เครื่องตี     ข. เครื่องเป่า   ค. เครื่องสี   ง. เครื่องดีด
2.       เครื่องดนตรีชนิดใดที่นิยมนำเอาหนังสัตว์มาใช้
ก.       เครื่องดีด   ข. เครื่องเป่า   ค. เครื่องสี   ง. เครื่องตี
3.       วงดนตรีพื้นบ้านของภาคเหนือตรงกับข้อใด
ก.       วงสะล้อซอซึง     ข. วงเครื่องสายผสมแคน   ค. วงปี่พาทย์ชาตรี   ง. วงโปงลาง
4.       ลำตัดเป็นการละเล่นพ้นบ้านของภาคใด
ก.       ภาคใต้     ข. ภาคเหนือ   ค. ภาคกลาง   ง. ภาคตะวันออก
5.       ดนตรีของไทย  ได้รับอิทธิพลจากข้อใด
ก.       วัฒนธรรมจากเขมร                  ข. วัฒนธรรมจากอินเดีย  
. วัฒนธรรมจากล้านนา ล้านช้าง       ง. เป็นวัฒนธรรมของไทยตั้งแต่อยู่ในจัน
          งานการเรียนรู้ด้วยตนเอง
                   1. ให้บอกเครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ และวิธีการดูแลรักษา บอกมา 3 ชนิด
2. บอกแนวทางอนุรักษ์เพลง และดนตรีพื้นบ้าน


2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่พบว่ามีแผนค่ะ ให้เขียนให้เรียบร้อยก่อนนะคะ

    ตอบลบ
  2. ไม่พบว่ามีแผนค่ะ ให้เขียนให้เรียบร้อยก่อนนะคะ

    ตอบลบ